Wednesday, December 2, 2015

PAMS-POSDCoRB กับนิสัยคนไทย

กระบวนการบริหาร (PAMS-POSDCoRB) ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้ กำหนดนิยามศัพท์ ไว้ดังนี้
1. การบริหารนโยบาย (Policy : P) หมายถึง กระบวนการบริหารนโยบายสาธารณะ            ที่เกี่ยวกับหลักและวิธีปฏิบัติที่องค์การหรือหน่วยงานต่าง ๆ ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน  ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมสาธารณะหรือการพัฒนาหน่วยงานในอนาคตในช่วงระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงวิสัยทัศน์ของการพัฒนาองค์การ ที่กำหนดออกมาเป็นนโยบาย แนวทาง หรือโครงการเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ
2. การบริหารอำนาจหน้าที่ (Authority : A) หมายถึง การบริหารที่เกี่ยวอำนาจ หน้าที่และความรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์การหรือหน่วยงาน และมีกฎหมายรองรับ
3. การบริหารจริยธรรม (Morality : M) หมายถึง  การบริหารที่เกี่ยวกับธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติในการบริหารงานของบุคลากร  เช่น บริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตบริสุทธิ์ใจ เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมีเมตตา การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆ รวมทั้งการปฏิบัติราชการตามมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรมของหน่วยงานที่กำหนด
4. การบริหารที่เกี่ยวข้องกับสังคม (Society : S) หมายถึง การบริหารงานของหน่วยงานภาครัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่คำนึงและเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อสังคมชุมชนหรือประชาชนส่วนรวม โดยการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน การส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ บำรุงศิลปะ จารีตประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น การจัดบุคคลากรต้อนรับและให้ความช่วยเหลือประชาชนคอยต้อนรับ ตอบคำถาม ให้คำแนะนำ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี เป็นต้น รวมทั้งการบริหารงานที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การรับฟังความคิดเห็น การสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่น ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมตรวจสอบการบริหารของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่
5. การวางแผน (Planning : P) หมายถึง การจัดทำแผนพัฒนาขององค์การบริหารส่วนตำบลการคิดหาวิธีการที่จะใช้ในการบริหาร เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรายละเอียดของงานที่จะทำในอนาคต ทั้งนี้เพื่อต้องการที่จะให้งานนั้นบรรลุเป้าหมายและเป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ โดยมีกระบวนการบริหารตั้งแต่การเตรียมการทำแผน การวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อยเพื่อหาทางเลือกในการพัฒนา      การปฏิบัติตามแผนโดยกำหนดงบประมาณเพื่อลงมือปฏิบัติตามแผนนั้นๆ และการประเมินผลแผนโดยเปรียบเทียบวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อปรับแผนหรือนำไปใช้ต่อไป
6. การจัดโครงสร้างขององค์กร (Organizing : O) หมายถึง การบริหารที่เกี่ยวกับรูปแบบและโครงสร้าง รวมทั้งการจัดส่วนราชการ  ในการกำหนดตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ สายงานการบังคับบัญชา รวมถึงการแบ่งโครงสร้างเป็นหน่วยงานหลักหรือหน่วยงานปฏิบัติการ (line) และหน่วยงานรองหรือหน่วยงานที่ปรึกษา (staff)
7. การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Staffing : S) หมายถึง การบริหารงานที่เกี่ยวกับบุคลากรของ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชประจำ การสรรหา คัดเลือก และการบรรจุแต่งตั้งบุคคลทำงานในตำแหน่งต่างๆ ตลอดจนการนำระบบคุณธรรมมาใช้ในการเลื่อน ลด ปลด ย้าย โอน และ          ปูนบำเหน็จรางวัล เป็นต้น
8. การอำนวยการ (Directing : D) หมายถึง การบังคับบัญชา สายการบังคับบัญชา            การควบคุมและรับผิดชอบการบริหารงานของเทศบาล รวมถึงการใช้อำนาจและอิทธิพลของผู้บริหารในการชักจูงให้ปฏิบัติงาน/ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ตามตำแหน่งหน้าที่ในแต่ละ    สายงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร
9. การประสานงาน (Coordination : Co) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การบริหาร ส่วนตำบล กับบุคคล และระหว่างองค์การบริหารส่วนตำบลด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างองค์การบริหารส่วนตำบลกับประชาชน เป็นการสร้างความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ โดยเป็นการบริหารที่จัดระเบียบหรือจัดวิธีการปฏิบัติงานเพื่อลดความซ้ำซ้อน และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนตำบล และประชาชน
10. การรายงาน (Reporting : R) หมายถึง การรายงานเสนอความเห็นหรือยื่นเรื่องร้องเรียน การควบคุมตรวจสอบและการประเมินผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบล จากภายในและภายนอก และการจัดทำรายงานแสดงผลการปฏิบัติงานตามกฎหมายกำหนด
11. การงบประมาณ (Budgeting : B) หมายถึง การบริหารงบประมาณและการบริหารการคลังตามแนวทางรัฐประศาสนศาสตร์ แสดงให้เห็นรายละเอียดของงบประมาณการใช้จ่ายในรูปของบัญชีรายจ่ายอย่างถูกต้อง และชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการใช้เงิน การคลัง การงบประมาณ
ส่วนสมพงษ์ เกษมสิน กล่าวว่า การบริหาร หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ในการนำเอาทรัพยากรการบริหาร คือ 4 M’s เช่น คน (Man) เงิน (Money)วัสดุอุปกรณ์สิ่งของ (Meterial) และการจัดการ (Management) มาประกอบกับการบริหารจัดการ โดยต้องอาศัยความรู้ ความสามารถของแต่ละบุคคล (วิรัช วิรัชนิภาวรรณ,2554:1-6, อ้างใน สมพงศ์ เกษมสิน,2514:13-14) สืบค้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2554 จาก//www.wiruch.com/articles.  และ ชุบ กาญจนประกร  กล่าว่า “การบริหาร หมายถึง การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน (สุขุมวิทย์ โสยโสภภณ, 2551: 94) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับกลุ่ม
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัย ได้ให้ความหมายของ การบริหารจัดการว่า การบริหารจัดการ หมายถึง การดำเนินงานขององค์กร หรือกลุ่มต่างๆ โดยใช้แนวคิดของกระบวนการ PAMS-POSDCoRB ในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร
(วิรัช วิรัชนิภาวรรณ ) เคยได้วิเคราะห์ถึงลักษณะอุปนิสัยของคนไทย 30 ประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ไว้น่าสนใจอย่างยิ่ง ได้แก่ 1) คนไทยเชื่อเรื่องเวรกรรม โดยไม่มีเหตุผล 2) คนไทยชอบถ่อมตัวและยอมรับชนชั้นในสังคม ทำให้ผู้มีอำนาจขาดคุณธรรม “เหลิงอำนาจ” 3) คนไทยยึดถือระบบอุปถัมภ์ หรือเรียกว่า “ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย” ต่อมาจึงกลายเป็นระบบอุปถัมภ์และระบบพอกพ้อง 4) คนไทยไม่ยอมรับคนที่มีอายุเท่ากันหรือต่ำกว่า เกิดจากระบบอุปถัมภ์ทำให้คนไทยนิยมยกย่องเฉพาะผู้อาวุโสกว่า 5) คนไทยพึ่งพาพึ่งพิงคนอื่น คนไทยติดนิสัยต้องคอยพึ่งผู้อื่น เพราะคนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร ต่อต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศ ทำให้คนไทย   ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความริเริ่ม ไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงออก 6) ไม่รู้จักประมาณตน ต้องการมีหน้ามีตา หน้าใหญ่ใจโต ทำตัวฟุ้งเฟื้อ เช่นการกู้หนี้ยืมสินมาจัดงานบวชหรืองานแต่งต่างๆ เป็นต้น ทำให้มีหนี้สินมากและยิ่งยากจน 7) คนไทยรักอิสรเสรี รักความเป็นไท ไม่อยู่ในระเบียบ “ทำได้ตามใจคือไทยแท้” ส่งผลให้ประเทศขาดประสิทธิภาพ 8) ไม่ชอบค้าขายในอดีตคนไทยเชื่อว่าอาชีพที่รับการยกย่องคืออาชีพรับราชการ ดังคำที่ว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” เพราะการ ค้าขายต้องเอาอกเอาใจลูกค้า ทำให้อาชีพค้าขายตกเป็นของคนจีน อินเดีย เป็นต้น 9) คนไทยชอบ เอาตัวรอดและโยนความผิดให้ผู้อื่น เห็นจากพฤติกรรมที่เรียกว่า “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ทำตัวเป็น   ศรีธนนชัย ลื่นไหลไปเรื่อยๆ หรือคำว่า “รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” เป็นต้น ทำให้ประเทศหาเจ้าภาพหรือผู้รับผิดชอบที่แท้จริงได้ยาก คนไทยส่วนมากขอ “รับแต่ชอบไม่ยอมรับผิด” 10) คนไทยไม่ชอบรวมกลุ่มและขาดการร่วมมือประสานงาน คนไทยมีความสามารถเฉพาะตัวมากแต่ชอบฉายเดี่ยว หากจะทำงานร่วมกับคนอื่น ก็ทำให้ความสามารถลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เพราะเกิดการอิจฉาริษยากัน ตรงกับคำที่ว่า “มากหมอมากความ” 11) คนไทยขาดการวางแผน ชอบมองโลกในแง่ดี โดยไม่คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต  เมื่อปัญหาเกิดก็แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดังคำที่ว่า “สุกเอาเผากิน” ทำให้งานไม่มีทิศทาง ไม่รอบคอบ หละหลวมและล้มเหลวง่าย 12) คนไทยชอบการพนัน เหล้า และสนุกสนาน ชอบเสี่ยงโชค ชอบหวังน้ำบ่อหน้า ชอบเฮฮาสนุกสนานรื่นเริง 13) คนไทยเกียจคร้าน ชอบความสะดวกสบาย หลีกเลี่ยงงานหนัก ขาดความมุมานะอดทด 14) คนไทยไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบสภาพเดิมๆ ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก  15) คนไทยเห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้  ชอบเอาเปรียบกินแรงคนอื่น เช่น ตนเองไม่ใช่    คนยากจน แต่แสแสร้งทำตัวเป็นคนจนเพื่อขอรับสวัสดิการจากรัฐ ทำให้งบประมาณรัฐรั่วไหล    16) นิสัยลืมง่าย คนไทยลืมง่าย ให้อภัย เห็นอกเห็นใจ นิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ   ในแง่ผู้กระทำผิด โกงบ้านเมือง อาจกลับมากระทำผิดอีกครั้งเพราะคนไทยให้อภัยได้                    17) ชอบอภิสิทธิ์ ชอบสิทธิพิเศษ  ทำให้เกิดการสร้างความเลื่อมล้ำทางสังคม  18) คนไทยมีนิสัยฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัดอดออม รสนิยมสูงแต่รายได้ต่ำ มีอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่คนไทยยิ่งยากจนมากขึ้น 19) คนไทยไม่รู้จักรู้แพ้รู้ชนะ นิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสองฝ่ายหมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นกันในเรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ทำให้เกิดความวุ่นวาย และแตกความสามัคคี  20) คนไทยไม่ยกย่องผู้หญิงมากเท่าที่ควร ทั้งที่ผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชาย แต่กลับยกย่องผู้ชายเป็นผู้นำส่วนมาก  21) มีจิตใจคับแคบ ไม่อยากเห็นใครเด่นเกิน ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย 22) ชอบสร้างอิทธิพล แสดงความเป็นเจ้าของ ทำให้ประเทศถูกผูกขาดเฉพาะกลุ่มและเพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม และประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ 23) ชอบประนีประนอม     คนไทยชอบประนีประนอมพบกันครึ่งทาง ทำให้การพัฒนาประเทศไม่ได้ผลชัดเจน 24) คนไทย    ไม่ตรงต่อเวลา ชอบผ่อนผันเรื่องเวลา ทำให้ต่างประเทศมองว่าคนไทยขาดความรับผิดชอบ          25) คนไทยไม่รักษาสาธารณสมบัติ เป็นลักษณะนิสัยไม่สนใจทำนุบำรุงรักษาของส่วนรวม สาธารณะสมบัติไม่ใช่ของส่วนตัว  เห็นจากการทำลายตู้โทรศัพท์ การสลักชื่อไว้ตามกำแพงวัด    เป็นต้น 26) คนไทยชอบพูดมากกว่าทำ ทำให้ผู้ที่เขาทำงานจริงหมดกำลังใจ เพราะมีนักช่างพูดจำนวนมาก 27) คนไทยยกย่องวัตถุ หรือชอบวัตถุนิยม นับถือเงินเป็นพระเจ้า ทำให้ขาดคุณธรรม จริยธรรม  ทำให้คนไทยขาดน้ำใจ ตกเป็นทาสของเงิน 28) ชอบของฟรี คนไทยชอบของแถมชอบของฟรี ชอบการสงเคราะห์ โดยไม่ยอมพึ่งตนเอง นิสัยนี้ทำให้คนไทยทำสิ่งใดแล้วหวังผลทำแทน ไม่รู้จักเสียสละ หรือทำงานด้วยจิตสำนึกส่วนรวม 29) คนไทยชอบสอดรู้สอดเห็น ทำให้เสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นประโยชน์ 30) ขาดจิตสำนึกและอุดมการณ์เพื่อชาติบ้านเมือง คนไทยชอบคิดเสมอว่า “ประเทศไม่ใช่ของเขาคนเดียว” ดังนั้นเมื่อคิดทำการใดก็จะมุ่งหวังผลกำไรมากกว่าที่ควร

แนวความคิดกับการบริหาร

“การบริหาร”  ตามความหมายทางวิชาการ [1] หมายถึง  การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย  หรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้  โดยอาศัยองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการบริหาร  และวิธีการปฏิบัติงาน 

ตลอดจนหมายถึงการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปโดยอาศัยบุคคลอื่น ๆ องค์ประกอบหรือปัจจัยที่จำเป็นต่อการบริหารนั้น  ในขั้นแรกมีอยู่ 4 ประการด้วยกัน  คือ  คน (Man)  เงิน (Money)  วัตถุสิ่งของ (Material)  และวิธีการปฏิบัติงาน (Method)  ที่เรียกว่า 4 M  แต่ต่อมาได้มีการ    เพิ่มองค์ประกอบเข้ามาอีกหลายประการ  เช่น  อำนาจ  หน้าที่  เวลา  ความตั้งใจในการทำงาน  และ  สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ดังนั้น  ในปัจจุบันองค์ประกอบหรือปัจจัยที่จำเป็นต่อการบริหารจึงมีอยู่ 7 ประการด้วยกัน  คือ  คน  เงิน  วัตถุสิ่งของ  อำนาจหน้าที่  เวลา  ความตั้งใจในการทำงาน  และ  สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งอาจถือว่าเป็นปัจจัยเหตุหรือสิ่งที่ใช้ไป (Input) ในการบริหารงานแต่ละอย่าง

จากความหมายของดังกล่าว จะเห็นว่าการบริหารมีลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ คือ (1)  การบริหารงานจะต้องมีวัตถุประสงค์  (2) การบริหารงานจะต้องมีองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ เช่น  คน  เงิน  วัตถุสิ่งของ  เป็นต้น  เป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน  และ (3)  การบริหารมีลักษณะเป็นการดำเนินงาน  ที่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง
การบริหารมีลักษณะเป็นการดำเนินงาน ที่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง   ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้มากมายหลายอย่าง [2] ซึ่งนำมาสรุปพอเป็นที่เข้าใจว่า 

การบริหารงานที่ดีควรจะประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญ 9 ประการ  คือ  นโยบาย (Policy)  อำนาจหน้าที่ (Authority)  การวางแผน (Planning)  การจัด    รูปงาน (Organizing)  การดำเนินการเกี่ยวกับบุคลากร (Staffing) การอำนวยการ (Directing) การประสานงาน (Co-ordination)  การรายงาน  (Reporting)  และการงบประมาณ (Budgeting)  หรือที่รวมเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้โดยย่อว่า PA-POSDCoRB 

ซึ่งขออธิบายแต่ละข้อโดยย่อดังนี้
นโยบาย (Policy)  หมายถึง  นโยบายที่จะใช้ในการบริหารงาน  ตลอดจนวิธีการกำหนดนโยบายดังกล่าวนั้นด้วย
อำนาจหน้าที่ (Authority)  หมายถึง  อำนาจหน้าที่ของแต่ละระบบงาน  ตลอดจนการมอบหมายอำนาจหน้าที่ในระบบงานเหล่านี้ด้วย
การวางแผน (Planning)  หมายถึง การวางแผนที่จะดำเนินการตามนโยบายที่กำหนดไว้  เพื่อให้แผนงานที่กำหนดขึ้นสอดคล้องต้องกับนโยบาย  การที่จะได้แผนงานที่ถูกต้อง  จำเป็นต้องอาศัยความรู้ทางวิชาการวางแผนและการคาดหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคตด้วย

การจัดรูปงาน (Organizing)  หมายถึง  การจัดรูปงานของระบบงานต่าง ๆ ในการจัดรูปงานนี้สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาประกอบด้วยก็คือ  วิธีการปฏิบัติงาน 

ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดรูปงานและวิธีการปฏิบัติงานมีความสอดคล้องต้องการ  ในการจัดรูปงานดังกล่าวนี้อาจมีการพิจารณาในด้านการควบคุมการปฏิบัติงานหรือในด้านของการแบ่งงาน  เช่น  หน่วยงานหลัก (line)  หน่วยงานที่ปรึกษา (Staff)  และหน่วยงานสนับสนุน (Auxiliary)
การดำเนินการเกี่ยวกับบุคลากร (Staffing)  หมายถึง  การจัดหาบุคคลที่มีความรู้และความสามารถมาบรรจุและแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานในหน่วยงาน  และอาจครอบคลุมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ในการดำเนินการกับบุคลากร  เช่น  การสรรหาบุคคล  การบรรจุและแต่งตั้ง  การเลื่อนตำแหน่ง  การฝึกอบรม  การกำหนดค่าตอบแทน  การให้พ้นจากงาน  หรือการเลิกจ้าง  และการให้บำเหน็จบำนาญ
การอำนวยการ (Directing)  หมายถึง  การอำนวยการซึ่งรวมถึงการควบคุมงานและการนิเทศงาน  ตลอดจนถึงศิลปะในการบริหารงาน  เช่น  ความเป็นผู้นำ (Leadership)  มนุษยสัมพันธ์  และการจูงใจ  นอกจากนี้  การอำนวยการยังหมายรวมถึงการวินิจฉัยสั่งการ  และการมอบอำนาจหน้าที่อันเป็นหลักสำคัญยิ่งในการบริหารด้วย
การประสานงาน (Co-ordination)  หมายถึง การประสานงานเพื่อให้งานดำเนินไปโดยสะดวกและเรียบร้อย  และเพื่อที่จะให้การประสานงานดีขึ้น  ตลอดจนแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่าง  ๆ นักบริหารจำเป็นต้องศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการประสานงานแบบต่าง ๆ

นอกจากนี้ยังจะต้องจัดให้มีระบบการประสานงานที่ดีในหน่วยงานของตนและกับหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย 

สิ่งที่จะช่วยให้การประสานงานดำเนินไปด้วยดีก็คือ  การติดต่อสื่อสารที่ดี
การรายงาน  (Reporting)  หมายถึง  การรายงานผลการปฏิบัติงาน  ตลอดถึงการประชาสัมพันธ์ผลงานด้วย  กิจกรรมทั้งหมดนี้มีส่วนสัมพันธ์ต่อเนื่องกับการติดต่อสื่อสารเป็นอันมาก
การงบประมาณ (Budgeting) หมายถึง การงบประมาณและการจัดงบประมาณ 

ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายของการบริหารงานที่สำคัญอีกประการหนึ่ง  นักบริหารจะต้องมีความรู้และความเข้าใจระบบงบประมาณกระบวนการในการจัดงบประมาณและการเงิน  และการใช้วิธีงบประมาณเป็นเครื่องมือในการวางแผนและควบคุมงานด้วย

จะเห็นได้ว่า  การบริหารราชการจะต้องอาศัยองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ  ซึ่งน่าจะเรียกว่าปัจจัยเหตุ (Input) หรือสิ่งที่จะใช้ไปในการบริหารงานและจะต้องมีกระบวนการบริหาร (process)  เพื่อใช้ปัจจัยเหตุ  และเมื่อกระบวนการต่าง ๆ ดำเนินการไปแล้ว  ก็จะได้ผลผลิตหรือสิ่งที่ได้ออกมา (Output) 

----------------------------------

(1) ชุบ  กาญจนประกร  หลักรัฐประศาสนศาสตร์ เอกสารประกอบคำบรรยาย 2506 (โรเนียว) น.10-12  และสมาน  รังสิโยกฤษฎ์  และสุธี  สุทธิสมบูรณ์  หลักการบริหารเบื้องต้น  (พิมพ์ครั้งที่ 4  กรุงเทพมหานคร สำนักงานสวัสดิการ ก.พ.2523) น.1-5

[2]  ดู John M.Pfifner.and Robert Presthus.Public Administration. 5th  ed.(New York: The Ronald Press Company, 1967); ชุบ  กาญจนประกร   หลักรัฐประศาสนศาสตร์  คำบรรยายชั้นปริญญาโท (คณะรัฐประศาสนศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2506)  และสมพงษ์  เกษมสิน   การบริหาร (พิมพ์ครั้งที่ 3  กรุงเทพมหานคร  ไทยวัฒนาพานิช 2514) น.20-25

ที่มา POSDCoRB


http://adisony.blogspot.com/2012/10/luther-gulick.html

PA-POSDCoRB

https://www.gotoknow.org/posts/425983

ของฝากสำหรับผู้ ( เตรียม ) บริหารสถานศึกษาและหน่วยงาน

          เพื่อเป็นการทบทวน คำว่า   POSDCORB  ซึ่ง ดร.ชุบ  กาญจนประการ ได้เพิ่มคำว่า  PA- เข้าไปเป็น

PA- POSDCORB  กล่าวคือต้องมีนโยบาย ( P-Policy) ที่...แน่ชัด  ....มีการจัดมอบ- กระจายอำนาจ                        ( A- Authority) ที่แน่แน่...มีการวางแผน  ( P-Planning) ที่แน่นอน...มีการจัดองค์กร  ( O-Organization) ไม่สับสน ...มีการจัดวางกำลังคน (S-Staffing) ที่มีประสิทธิภาพและใช้คนให้ตรงกับงาน (  put the right  man  on  the  right  job  )  ...มีการอำนวยการ (D – Directing ) อย่างนักวิชาการ....มีหลักการประสานงาน                     ( Co-Coordinating) โดยการมีมนุษยสัมพันธ์อย่างเชี่ยวชาญ...มีการรายงานผล ( R-Reporting)  การดำเนินงานและ....มีหลักการบริหารงบประมาณ( B-Budgeting) อย่างชาญฉลาด...หรือถ้าจะเอาทีทันสมัยและนิยมใช้กันในปัจจุบัน ก็ต้องใช้ทฤษฎีการบริหารตามวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง (Deming Quality Circle)

หรือ PDCA   ที่หมายถึงการรู้จักวางแผน( Plan )ทุกชิ้นงาน / รู้การดำเนินงาน ( Do )ตามแผนอย่างรอบคอบ/

รู้และดำเนินการตรวจสอบ-ติดตามผลการดำเนินงาน ( Check)/ และรู้การปรับปรุงแก้ไข ( Act ) ผลกำดำเนินงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

                นอกจากนี้ดร.สมชาย  เทพแสง ได้กล่าวว่า สิ่งที่ผู้บริหารควรมีนอกเหนือจาก ภูมิรู้  ภูมิธรรม และภูมิฐาน แล้ว ก็ควรจะได้ศึกษาองค์ประกอบแนวทางการบริหารที่เรียกว่า  20 PS  เป็นส่วนเพิ่มเติมในการบริหารด้วย ดังนี้

Psychology   -          มีจิตวิทยาในการบริหารPersonality   -           มีการจัดการด้านบุคลิกภาพPioneer       -          มีความซึ่ง- ทราบด้านการคิดริเริ่มและบุกเบิกอย่างสร้างสรรค์Poster         -         มีการประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปากParent        -         มีความบากบั่น  อดทน ( มีเมตตา  กรุณา  มุฑิตา  อุเบกขา ) ดุจพ่อแม่Period         -         มีความแน่วแน่และเที่ยงตรงต่อการบริหารเวลาPacific         -           มีความสุขุมรอบคอบPleasure      -           ชอบใช้อารมณ์ขัน เพื่อแก้ไขความตึงเครียดPrudent       -              ไม่ขี้เกียจสร้างวิสัยทัศน์ให้กว้าง- ไกลPrinciple       -              ยึดหลักชัยและทฤษฎีในการทำงานPerfect         -              ไม่เกียจคร้านที่จะทำงานให้เสร็จอย่างสมบูรณ์Point            -              เพิ่มพูนงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนPlan             -              เน้นการวางแผนทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบPay              -              มอบหมายงานอย่างถ้วนทั่ว โดยไม่เลือกที่รัก  มักที่ชัง เพื่อสร้างขวัญและ                                   กำลังใจParticipation                                เอาใจใส่ให้ความสำคัญด้านการมีส่วนร่วมPundit            -              รวมพลังกายใจ ใฝ่เรียนรู้งาน ที่ทำเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จPolitic            -              รอบรู้งานการเมือง-การปกครอง     ให้เบ็ดเสร็จ เพื่อเข้าถึงประชาชนPoet                -              ทำตัวให้เป็นผู้ช่ำชองด้านการใช้สำนวน-โวหาร เพื่อการจัดการ-บริหารPerception    -              ต้องคาดการณ์-หยั่งรู้และตรวจทาน ได้อย่างทันเหตุการณ์Psycho           -              มีจิตวิญญาณของนักบริหารอย่างเต็มศักยภาพ

 

                ดร.สมชาย  เทพแสง  ได้กล่าวถึงแนวทางในการสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง หรือยุทธศาสตร์ที่จะส่งถึงผลสำเร็จต่อการบริหารว่าควรยืดหลัก CARD คือ

                1.   C-Constancy   -              ความซื่อสัตย์แน่วแน่และจริงจัง

                2.  A- Aim           -              ความมุ่งหวังหรือเป้าหมายที่ตรงกรอบ

                3.  R- Responsibility         ความรับผิดชอบและเอาใจใส่งาน

                4.  D-Democracy               ใช้หลักการประชาธิปไตยในการ(ทำ )บริหารกับภูมิคุ้มกัน

               

                และยังมีภูมิคุ้มกัน  6  RE- ที่จะช่วยให้เสริมให้องค์กรเข้มแข็งยิ่งขึ้น

                1.  Realisable       -              มีความเข้าใจในการจัดองค์กร

                2.  Rearrange       -              รู้จักการประสานเพื่อปรับปรุง

                3.  Reformation  -              มุ่งสู่การปฏิรูปองค์การเพื่อให้เกิดมรรคผล

                4.  Relationship  -              อุทิศตนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

                5.  Religion          -              มุ่งสร้างความเชื่อ-ศรัทธา

                6.  Report             -              หาแนวทางประเมินผลการปฏิบัติงาน

               

                หวังเป็นอย่างยิ่งว่าว่าที่ผอ. และผู้บริหารทั้งหลายคงได้แนวคิดเพื่อการบริหารโรงเรียนเพื่อสร้างศรัทธา  ความพึงพอใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วยเสีย ที่จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือองค์กรให้มีประสิทธิภาพต่อไป

..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/425983